Just for You

แนะนำ 10 น้ำมันปลา ยี่ห้อไหนดี ที่สุด ปี 2022

น้ำมันปลา หนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางเลือก ตัวช่วยในการ ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ในกระแสเลือด ลดระดับความดันโลหิตสูง เพื่อช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ลดความหนืดของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทำให้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบหลอดเลือดและหัวใจ ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไม่เกาะตัวกันเป็นลิ่ม ป้องกันการแข็งตัวของเลือด และ ลดการปวดข้อและข้ออักเสบรูมาตอยด์ 

ในยุคปัจจุบันนี้คนเราหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ต้องดูแลเพื่อให้เกิดความสมดุลในชีวิต หลายๆคนจึงพยายามสรรหาสิ่งดีๆให้แก่ร่างกาย  ในแต่ละวันร่างกายของเราต้องการอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่หากเราไม่สามารถรับประทานได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย การรับประทานอาหารเสริมก็สามารถที่จะช่วยเพิ่มเติมสารอาหารในส่วนที่ขาดได้ อาหารเสริมมีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม คอลลาเจน เป็นต้น น้ำมันปลา ก็ตัวเลือกในลำดับแรกๆ ที่เป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ  

น้ำมันปลา (Fish Oil) คือ น้ำมันที่ได้จากกระบวนการสกัดเอาน้ำมันออกมาจากส่วนต่างๆ ของปลา เช่น เนื้อปลา หนังปลา หางปลา หัวปลา โดยปลาทะเลที่นำมาสกัดนั้นเป็นปลาที่อยู่ในทะเลน้ำลึกเขตหนาวเย็น ซึ่งมีกรดไขมัน Omega-3  ปริมาณมากกว่าปลาน้ำจืด อาทิ ปลาแองโชวี่ ปลาแมคเคอเรล หรือปลาทูน่ามีไขมันกลุ่ม Omega-3  สูงถึง 1-4 กรัม ต่อ เนื้อปลา 100 กรัม Omega-3 ประกอบด้วยกรดไขมันสำคัญ คือ EPA และ DHA โดยจากการศึกษาผลวิจัยทางการแพทย์พบว่า น้ำมันปลามีประโยชน์อย่างต่อร่างกายหลากหลาย

น้ำมันปลาเป็นหนึ่งในแหล่งที่ดีที่สุดของกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น EPA และ DHA ซึ่งมีบทบาทในการปกป้องหลอดเลือดของเราจากการอุดตันของไขมันและแร่ธาตุที่แข็งตัว การวิจัยแสดงให้เห็นว่าโอเมก้า 3 สามารถบำรุงหัวใจและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ดี รวมถึงการแทรกแซงการรวมตัวของเกล็ดเลือดที่ก่อตัวเป็นลิ่ม ยับยั้งการปล่อยสารอักเสบที่ส่งเสริมการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์ในหลอดเลือดแดงและช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด กรด Omega 3 เป็นหนึ่งใน 2 ของ “กรดไขมันจำเป็น” ที่ต้องได้รับจากอาหาร เนื่องจากมนุษย์เราไม่สามารถผลิตได้เอง เพื่อให้เข้าใจเรื่องของน้ำมันปลาอย่างเจาะลึก เราจะพาทุกคนศึกษาเรื่อง น้ำมันปลา คุณประโยชน์ของน้ำมันปลา ช่วยอะไรได้บ้าง รวมถึงการเลือก ซื้อ น้ำมันปลา ยี่ห้อไหนดี และเหมาะสมกับคุณมากที่สุด


10 อันดับ น้ำมันปลา ยี่ห้อไหนดีสุด ปี 2022

1. Mega We Care Fish Oil 1000 Mg
2. Giffarine Fish Oil
3. Blackmores Fish oil 1000 MG
4. Vistra Salmon Fish Oil
5. Bewel Salmon Fish Oil
6. AMWAY NUTRILITE Fish Oil
7. Vitamate Fish Oil
8. Powerhealth Omega3 Fish Oil
9. NUTRAKAL Salmon Oil Fish Omega 3
10. น้ำมันปลา โอเมก้า 3 Omeflame X3000




1. Mega We Care Fish Oil 1000 Mg

Mega We Care Fish Oil 1000 Mg


MEGA We care FISH OIL 1000 mg

เมก้า วีแคร์ (Mega We care) เป็นน้ำมันปลาที่ผลิตในประเทศไทยที่ ค่อนข้างไว้ใจในคุณภาพและมาตรฐานการผลิต (ในราคาไม่แพง) เพราะเมก้าเป็นโรงงานผลิตยาแห่งแรกและแห่งเดียวในไทยที่ผ่านการรับมาตรฐานการผลิต (GMP) ระดับสากลถึง 2 สถาบัน คือ TGA จากประเทศออสเตรเลีย และ BfArM จากประเทศเยอรมัน ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์รวมถึงน้ำมันปลาที่ผลิตจะมีการวิจัยการผลิต ควบคุมคุณภาพ และผ่านการตรวจสอบสารปนเปื้อนและโลหะหนัก และที่สำคัญเมก้ายังมีกระบวนการผลิตแคปซูลนิ่มด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น SOLVENT FREE (เทคโนโลยีของกระบวนการผลิตแคปซูลนิ่มเพื่อให้ลดการใช้ตัวทำละลายและทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากสารตกค้างอันไม่จำเป็น), ADDED PRESERVATIVES (เทคโนโลยีพิเศษและกระบวนการที่ปราศจากเชื้อ ควบคุมการผลิตโดยไม่ให้ใช้สารกันบูดในแคปซูล) และการควบคุมคุณภาพโดย QUALITY ASSURANCE และ QUALITY CONTROL ภายใต้มาตรฐานการผลิตยา (แม้น้ำมันปลาที่ผลิตจะเป็นแค่อาหารเสริมก็ตาม) น้ำมันปลาอุดมด้วยโอเมก้า 3 บำรุงระบบประสาทและสมอง บำรุงสายตา บำรุงหลอดเลือด ลดไขมันเลว

Mega We Care Fish Oil 1000 Mg. น้ำมันปลาเกรดพรีเมี่ยมมีคุณภาพได้มาตรฐานได้รับการรับรองจากสถาบัน คือ TGA จากประเทศออสเตรเลีย และ BfArM จากประเทศเยอรมัน สารสกัดจากน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า 3 ถึง1000มิลลิกรัม และยังเป็นน้ำมันปลาที่ผลิตในประเทศไทย จึงมีราคาที่ไม่แพงสามารถรับประทานได้ต่อเนื่อง

ปริมาณส่วนผสมสำคัญ

  • EPA 180 มิลลิกรัม + DHA 120 มิลลิกรัม+วิตามินอี1.4IU

วิธีการรับประทาน

  • รับประทานครั้งละ 1 เม็ดวันละ 3 ครั้ง พร้อมอาหาร



2. Giffarine Fish Oil

Giffarine Fish Oil


Giffarine FISH OIL 1000 สารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ลดความเสี่ยง บำรุงเซลล์ให้แข็งแรง น้ำมันปลาจากแบรนด์ไทยที่โด่งดังทั้งในและต่างประเทศ โดยทางแบรนด์ได้เลือกใช้สารสกัดจากส่วนหัวและเนื้อของปลาทะเลน้ำลึก ประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น EPA และ DHA มีส่วนในการบำรุงสมอง ช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดไขมันชนิดไตรกรีเซอไรด์ในเลือด อีกทั้งยังช่วยบำรุงเล็บ ผม และผิวพรรณให้แลดูมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้ ยังช่วยลดอาการเส้นเลือดอุดตันที่ไปขัดขวางการส่งผ่านเลือดสู่หัวใจได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพร่างกายอย่างโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด อีกทั้งยังสามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย

น้ำมันปลาแบรนด์ดังของไทย สกัดจากปลาทะเล

Giffarine Fish Oil น้ำมันปลาแบรนด์ดังจากประเทศไทย ที่ได้มาตรฐานและใช้วัตถุดิบเกรดดีสกัดจากปลาทะเลน้ำลึกอุดมไปด้วยโอเมก้ามีส่วนผสมที่สำคัญ EPA 90 มิลลิกรัม + DHA 60 มิลลิกรัม+วิตามินอี1.3มิลลิกรัม ที่ช่วยบำรุงร่างกายรับประทานวันละ 1 แคปซูลพร้อมมื้ออาหาร

ปริมาณส่วนผสมสำคัญ

  •  EPA 90 มิลลิกรัม + DHA 60 มิลลิกรัม+วิตามินอี1.3มิลลิกรัม

วิธีการรับประทาน

  • รับประทานวันละ 1 แคปซูลพร้อมมื้ออาหาร



3. Blackmores Fish oil 1000 MG

Blackmores Fish oil 1000 MG

★★★★★


แบลคมอร์ส (Blackmores) น้ำมันปลา สัญชาติออสเตรเลีย สำหรับผมแล้วยี่ห้อนี้จัดว่าน่าเชื่อถือที่สุด (ราคาก็เช่นกัน) ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานมากในบ้านเรา เพราะเป็นยี่ห้อแรก ๆ ที่เข้ามาเปิดตลาดอาหารเสริมในไทย โดดเด่นในเรื่องของการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ผลิตตามข้อกำหนดและมาตรฐานระดับสากลที่ควบคุมโดยประเทศออสเตรเลีย และผ่านการตรวจสอบสารปรอทและสารตะกั่วเช่นกัน ส่วนสาเหตุที่ยี่ห้อนี้มาอันดับ 4 นั่นก็เป็นเพราะเรื่องของราคาและกลิ่นที่จัดว่าแรงนั่นเอง แต่ถ้าคุณไม่ได้มีปัญหาเรื่องราคาและรับกลิ่นคาวปลาได้บ้าง ยี่ห้อนี้ก็จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเลย

น้ำมันปลาชนิดนี้เป็นน้ำมันปลาจาก Blackmores (แบล็คมอร์) ซึ่งแน่นอนว่าก็เป็นแบรนด์ที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยเป็นอย่างดี อัดแน่นมาด้วยโอเมก้าจากธรรมชาติเต็ม ๆ แคปซูล อีกทั้งยังมีการเสริมวิตามินอีเข้าไปด้วยเพื่อการบำรุงร่างกายอย่างสมบูรณ์มากขึ้น ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ ค่ะ น้ำมันปลาชนิดนี้เป็นน้ำมันปลาที่ไม่มีสารปรอทจึงทำให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ใครที่กำลังมองหาน้ำมันปลาดี ๆ อยู่ต้องลอง

fish oil blackmore ใช้สารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีปริมาณ Omega-3 1000 มิลลิกรัม

fish oil blackmore ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมแและน้ำมันปลาจาก blackmore ใช้สารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีปริมาณ Omega-3 1000 มิลลิกรัม ประกอบด้วย มีโอเมก้า 3 มากถึง 300 ม.ก.ต่อแคปซูล EPA 180 มิลลิกรัม + DHA 120 มิลลิกรัมและวิตามินอี10 หน่วยสากล ขนาดรับประทานพร้อมอาหาร วันละ 1-3 แคปซูลทุกวัน

ปริมาณส่วนผสมสำคัญ

  • EPA 180 มิลลิกรัม + DHA 120 มิลลิกรัม+วิตามินอี

วิธีการรับประทาน

  • รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 – 3 ครั้ง ทุกวัน



4. Vistra Salmon Fish Oil

Vistra Salmon Fish Oil


วิสทร้า (Vistra) น้ำมันปลาสกัดจากปลาแซนม่อน
อุดมไปด้วยโอเมก้า3 อีกหนึ่งแบรนด์ที่คนไทยคุ้ยเคยกันดี อาหารเสริมแบรนด์นี้ผมเองก็รับประทานอยู่บ่อย ๆ โดยของวิสทร้านี้จะเป็นน้ำมันปลาปลาแซลมอนที่ผลิตในไทย ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากประเทศไอซ์แลนด์ ข้อมูลบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการควบคุมคุณภาพผมหาข้อมูลในเว็บไซต์ของวิสทร้าไม่เจอครับ ส่วนสาเหตุที่ยี่ห้อนี้มาแรงเป็นอันดับ 2 ก็เป็นเพราะเรื่องของราคาที่โครตจะคุ้มค่า (ถูกสุดในบรรดา 10 ยี่ห้อ) แถมยี่ห้อนี้ยังมีส่วนผสมของวิตามินอีที่สูงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ด้วย (จริง ๆ วิตามินอีมีไว้แค่ช่วยคงสภาพและปริมาณของสารสำคัญให้มีสูงสุดระหว่างรอการบริโภคเท่านั้นครับ จะมากหรือน้อยก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน ขอให้มีบ้างก็พอแล้ว ยิ่งถ้าเราเก็บยาดีและกินหมดเร็วก็ไม่ต้องกังวลครับ) 

VISTRA น้ำมันปลา โอเมก้า 3 Salmon Fish Oil Plus Vitamin E 

อุดมด้วยโอเมก้า 3 พร้อมวิตามินอี ลดไขมัน บำรุงสายตาและผิว

น้ำมันปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 มีครบทั้ง EPA และ DHA รวมถึงมีการผสานเอาคุณสมบัติของวิตามินอีมารวมไว้ด้วยกันทำให้อาหารเสริมกระปุกนี้ยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก โดยวิตามินอีมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ผมและเล็บ และยังช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี เหมาะแก่การรับประทานในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ยังบรรเทาอาการเจ็บปวดตามข้อ การลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดและระดับคอเลสเตอรอล ทั้งยังบำรุงเซลล์สมองและสายตาอีกด้วย เรียกได้ว่า เป็นสินค้าคุณภาพดีเยี่ยมที่ราคาย่อมเยา จนสามารถครองใจผู้บริโภคจำนวนมากไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

น้ำมันปลาจากแบรนด์ Vistra แบรนด์อาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในไทย สกัดจากปลาแซนม่อนธรรมชาติ Vistra Salmon Fish Oil ประกอบด้วยสารสกัดจากโอเมก้า 3 EPA 180 มิลลิกรัม + DHA 120 มิลลิกรัม

ปริมาณส่วนผสมสำคัญ

  •  EPA 180 มิลลิกรัม + DHA 120 มิลลิกรัม

วิธีการรับประทาน

  • รับประทานวันละ 1 แคปซูลพร้อมมื้ออาหาร



5. Bewel Salmon Fish Oil

Bewel Salmon Fish Oil


BEWEL น้ำมันปลา โอเมก้า 3 Salmon Fish Oil Plus Vitamin E น้ำมันปลาจากประเทศไอซ์แลนด์ ไม่มีกลิ่นคาว ราคาเบาๆ ช่วยลดไขมันในเลือด บรรเทาการปวดข้อ บำรุงสายตาและสมอง

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคุณภาพดีนำเข้าจากออสเตรเลีย และมีมาตรฐานการผลิตระดับสากลของ GMP น้ำมันปลาสูตรนี้อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้ง DHA และ EPA ที่สกัดได้จากปลาทะเลลึกในประเทศไอซ์แลนด์ ปราศจากโลหะหนักและสารเจือปน จึงเหมาะกับผู้ใส่ใจในสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสารอาหารที่จำเป็น มาช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์สมองไม่ให้เสื่อมง่าย พร้อมกับบำรุงสุขภาพสายตาไปในตัว ที่สำคัญคือสามารถลดไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ตลอดจนช่วยบรรเทาอาการปวดข้ออักเสบ พร้อมผสมผสานคุณค่าจากวิตามินอี เพื่อบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่มและสุขภาพดีอีกด้วย

Bewel Salmon Fish Oil น้ำมันปลา คุณภาพดีราคาเบาๆ ไม่มีกลิ่นคาวเหมาะสำหรับผู้กำลังเริ่มประทาน สกัดจากปลาแซลม่อนจากประเทศไอซ์แลนด์ปลอดภัย ปราศจากสารปนเปื้อนและโลหะหนักต่าง ๆ ช่วยบำรุงร่างกาย ราคาเบาๆแต่มีประโยชน์มากมายคุ้มค่ามากๆ

ปริมาณส่วนผสมสำคัญ

  • EPA 180 มิลลิกรัม + DHA 120 มิลลิกรัม+วิตามินอี9.09IU

วิธีการรับประทาน

  •  รับประทานวันละ 1 แคปซูลพร้อมมื้ออาหาร



6. AMWAY NUTRILITE Fish Oil

AMWAY NUTRILITE Fish Oil


NUTRILITE น้ำมันปลา โอเมก้า 3 Fish Oil Capsule

สารสกัดคุณภาพ ผสานวิตามินอี ปราศจากวัตถุกันเสีย กลิ่นและสี

น้ำมันปลาจากแอมเวย์สูตรนี้เป็นผลผลิตจากการคิดค้นนำสารสกัดจากปลาแซลมอนมาเป็นส่วนประกอบหลักกว่า 69.62% ที่ช่วยการันตีการส่งมอบกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังอุดมไปด้วยกรดไขมันหลักอย่าง DHA และ EPA ที่มาช่วยบำรุงสมอง การไหลเวียนโลหิตและสารสำคัญ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จึงต้องมีอาหารเสริมนี้ช่วยอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังผสานคุณค่าของวิตามินอีที่มีในส่วนกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวพรรณสวยงาม ดูสุขภาพดี ที่สำคัญคือ ไม่มีวัตถุกันเสีย ปราศจากสารแต่งกลิ่นและสี เด็ก ๆ ก็สามารถทานได้ด้วย



7. Vitamate Fish Oil

Vitamate Fish Oil


Vitamate Fish Oil เป็นน้ำมันปลาที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมีปริมาณโอเมก้าสูงถึง 1400 มิลลิกรัมเลยทีเดียวค่ะ มาในรูปแบบซอฟเจลช่วยให้กลืนได้ง่ายอีกทั้งยังสามารถละลายน้ำได้เร็วมาก ๆ เราขอรับรองเลยว่าผลิตภัณฑ์นี้ไม่มีกลิ่นคาวอย่างแน่นอน อีกทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพได้ดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องคอเรสเตอรอล ความเครียด กระดูก ต่าง ๆ ตัวนี้ก็ดูแลได้ดีมาก อีกทั้งยังมาในขวดแบบทึบแสง ช่วยปกป้องกลิ่นหืนได้ดี

น้ำมันปลาโอเมก้าสูงมาก แคปซูลซอฟเจล กินง่าย ไม่คาว บำรุงร่างกาย

Vitamate Fish Oil น้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกในเขตหนาวมีปริมาณโอเมก้าสูงมากที่สุดถึง1400มิลลิกรัม ผลิตภัณฑ์รับประทานง่ายผู้ที่กินยายากก็สามารถที่จะรับประทานได้เพราะแคปซูลอยู่ในรูปแบบซอฟเจลกินง่ายออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว และยังไม่มีกลิ่นคาวรับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง ทุกวันพร้อมมื้ออาหาร สามารถรับประทานได้ทั้งเด็กวัยเรียนและผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงร่างกายได้หลายอย่าง

ปริมาณส่วนผสมสำคัญ

  • EPA 647 มิลลิกรัม + DHA 253 มิลลิกรัม

วิธีการรับประทาน

  •  รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร




8. Powerhealth Omega3 Fish Oil

Powerhealth Omega3 Fish Oil


รีวิว น้ำมันปลา Powerhealth Omega3 Fish Oil 90 แคปซูล

Powerhealth น้ำมันปลาที่มาในรูปแบบซอฟต์เจลนิ่ม ๆ สามารถกลืนได้ง่าย ละลายน้ำเร็ว ไม่ทำให้เกิดกลิ่นคาว มาพร้อมขวดแบบทึบแสงสามารถป้องกันการเข้ามาของแสงแดดได้อย่างดี โดยน้ำมันปลายี่ห้อนี้เด็ก ๆ และผู้หญิงที่ตั้งครรภ์สามารถรับประทานได้ เพราะให้ประโยชน์ต่อร่างกายสูง ไม่ว่าจะช่วยเพิ่มการทำงานของระบบประสาท ดูแลกระดูกหรือหลอดเลือดก็สามารถทำได้

น้ำมันปลาคุณภาพสูงปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่

Power Health Omega 3 Fish Oil น้ำมันปลาแบรนด์จากประเทศอังกฤษ รับประทานง่ายแคปซูลซอฟเจลละลายง่าย ไม่มีกลิ่นคาว สกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ปริมาณสารสกัดที่ช่วยบำรุงร่างกายอัดแน่น จัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันปลา (Omega 3 Fish Oil) 1001 mg (EPA 180mg, DHA 120mg) Vitamin E 10 mg (Natural from Soya Bean Oil) รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ทุ

ปริมาณส่วนผสมสำคัญ

  • น้ำมันปลา (OMEGA 3 FISH OIL) 1001 MG (EPA 180MG, DHA 120MG) VITAMIN E 10 MG (NATURAL FROM SOYA BEAN OIL)

วิธีการรับประทาน

  • รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ทุกวันพร้อมมื้ออาหาร



9. NUTRAKAL Salmon Oil Fish Omega 3

NUTRAKAL Salmon Oil Fish Omega 3


NUTRAKAL Salmon Oil Fish Omega 3

เป็นผลิตภัณฑ์ที่สกัดมาจากปลาแซลมอนธรรมชาติจากแอตแลนติกเหนือ ประเทศนอร์เวย์อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวและโอเมก้า 3 ซึ่งสามารถลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้ 20-50% รองรับด้วยผลการวิจัยทางการแพทย์ และสามารถรับประทานได้ง่ายเพราะตัวแคปซูลเป็นแบบซอฟเจลจึงทำให้ไม่มีกลิ่นคาวของปลาหรือมีอาจจะน้อยมาก แต่สำหรับแบรนด์นี้แนะนำให้รับประทานในกลุ่มวัยผู้สูงอายุและผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

คุณสมบัติ Nutrakal Fish Oil

  • สกัดจากปลาแซลมอน
  • สารออกฤทธิ์ เป็นไขมันไม่อ่มตัวกลุ่มโอเม้ก้า 3
  • ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ในหลอดเลือด
  • ลดการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด
  • ลดการสร้างสารกระตุ้นการอักเสบ
  • เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสมองและจอประสาทตา

ประโยชน์ Nutrakal Fish Oil Omega 3

  • ลดอันตรายจากโรคหัวใจ
  • ลดอาการปวดข้อ ข้ออักเสบเรื้อรัง
  • บำรุงสมอง และจอประสาทตา

องค์ประกอบสำคัญ Nutrakal Fish Oil Omega 3

  • น้ำมันปลา 1000 มิลลิกรัม
  • ประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง
  • กรดไอโคซาแพนทาอีโนอิก (EPA) 180 มิลลิกรัม
  • กรดโดไคซาแฮกซาอีโนอิก (DHA) 120 มิลลิกรัม

วิธีรับประทาน Nutrakal Fish Oil Omega 3

  • บำรุงสุขภาพ: รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหาร
  • ชะลออาการของโรค: รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร



10. น้ำมันปลา-โอเมก้า-3-Omeflame-X3000

น้ำมันปลา โอเมก้า 3 Omeflame X3000


Vitaxtrong น้ำมันปลา โอเมก้า 3 Omeflame X3000

สำหรับแบรนด์นี้ผู้ที่ชื่นชอบออกกำลังกายอาจจะคุ้นเคยกับแบรนด์นี้ในเรื่องของเวย์โปรตีนแต่ทางแบรนด์ก็มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำมันปลามาเสริมสร้างให้กับผู้ที่รักออกกำลังกายได้รับประทานกัน ซึ่งปริมาณในการรับประทานต้องดูจากน้ำหนักของผู้รับประทาน และมีส่วนผสมของน้ำมันปลาที่เข้มข้นกว่าทุก ๆ แบรนด์ ด้วยค่าความเข้มข้นถึง 3,000 มิลลิกรัม ซึ่งจะทำให้มีปริมาณของโอเมก้า3เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่ถึงจะมีความเข้มข้นอยู่มากแต่กลิ่นนั้นกลับไม่มีความคาวเพราะทางแบรนด์ได้ทำการแต่งกลิ่นด้วยเลม่อนทำให้กลิ่นคาวไม่มีอยู่

สูตรเข้มข้นสูง ขวัญใจนักเพาะกาย ต้านการอักเสบของกล้ามเนื้อ

น้ำมันปลาจากแบรนด์นี้เป็นแบรนด์จากประเทศสหรัฐอเมริกา เรียกได้ว่า เหมาะกับผู้ที่ชอบออกกำลังกายเป็นอย่างมาก เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันปลาที่เข้มข้นกว่าทุก ๆ แบรนด์ ด้วยค่าความเข้มข้นถึง 3,000 มิลลิกรัม ช่วยในการเสริมสร้าง พร้อมดูแลการอักเสบภายในกล้ามเนื้อ รวมถึงข้อต่อตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ทั้งยังมีโอเมก้าที่สูงถึง 75% แม้จะมีความเข้มข้น แต่ก็ทานง่าย ปราศจากกลิ่นคาวและมีแต่งกลิ่นด้วยรสเลมอน แต่เนื่องจากสินค้านี้มีค่าความเข้มข้นสูงมาก ผู้ที่มีภาวะโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ  ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน และควรออกกำลังกายให้พอเหมาะ




น้ำมันปลาคืออะไร? 

น้ำมันปลา (fish oil) คือน้ำมันที่สกัดมาจากส่วนต่างๆ ของปลา ถือเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 โดยในน้ำมันปลาจะมีกรดไขมันหลักๆ อยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ DHA (Docosahexaenoic Acid) และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และกรดไขมันทั้ง 2 ชนิดนี้ ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ความสำคัญของกรดไขมันทั้ง 2 ชนิดนี้ก็คือ กรด DHA ถือเป็นโครงสร้างสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์สมองและจอประสาทตา ช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการของสมองและสายตา ซึ่งเรามักจะเห็นบ่อยๆ ในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เช่น นมสำหรับเด็กหรืออาหารสำหรับเด็ก ส่วนกรด EPA นั้นจะทำหน้าที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของเยื่อบุผิวของหลอดเลือด ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในเรื่องการทำงานของหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ รวมถึงยังช่วยลดความหนืดข้นของกระแสเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ป้องกันการแข็งตัวของเกร็ดเลือดและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน

น้ำมันปลา Fish Oil
เช็คราคาจาก Lazada  เช็คราคาจาก Shopee

น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลาต่างกันอย่างไร ?

มีคนไม่น้อยที่มักสับสนว่าน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลาไม่ใช่อันเดียวกันเหรอ จริง ๆ แล้วที่มาของทั้งคู่ไม่ต่างกันเท่าไร เพราะสกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึกเช่นกัน เพียงแต่น้ำมันตับปลาจะสกัดมาจากส่วนตับ ส่วนน้ำมันปลาจะสกัดมาจากส่วนหัว หนัง เนื้อและหางของปลา ทำให้มีคุณประโยชน์แตกต่างกัน

น้ำมันตับปลาจะมีวิตามิน A และ E สูง ซึ่งวิตามิน E มีจะช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสเฟรัส ทำให้กระดูกแข็งแรง ส่วนวิตามิน A ช่วยในเรื่องเกี่ยวกับการมองเห็นในที่มืดหรือที่ที่มีแสงสลัว และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย น้ำมันตับปลาจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการทานเพื่อเพิ่มปริมาณวิตามิน A และ E มากกว่า แต่การทานน้ำมันตับปลามีข้อควรระวังอยู่ เนื่องจากวิตามิน A และ E เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ดังนั้นหากทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดการสะสมในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เราจึงควรพิจารณาปริมาณ และระยะเวลาการบริโภคอย่างระมัดระวัง

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม :

น้ำมันปลาส่วนมากสกัดมาจากปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือปลาแมคคอเรล ขณะที่น้ำมันตับปลามักสกัดมาจากปลาค็อค เป็นที่มาของชื่อภาษาอังกฤษ Cod Liver Oil นั่นเอง


น้ำมันปลา มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

1. บำรุงระบบประสาท สมอง และจอประสาทตา

กรดไขมัน DHA เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบเซลล์สมอง ประสาท รวมถึงจอประสาทตา เมื่อร่างกายได้รับ DHA ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วย บำรุงสมอง ให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องต้องการบำรุงสมอง เช่น นักเรียนนักศึกษา ผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการเกิดโรคสมองเสื่อม ช่วยลดอาการตาพร่ามัว ช่วยให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย

2. ลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglycerides)

ไตรกลีเซอร์ไรด์ เป็นไขมันที่ไม่ดี หากสะสมในร่างกายมากๆจะนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆตามมามากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตัน น้ำมันปลามีกรดไขมัน โอเมก้า 3 ที่ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได

3. ช่วยบำรุงหัวใจ

สาร EPA ในน้ำมันปลาจะช่วยเพิ่ม HDLทำให้ไขมันในเลือดลดลง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางระบบหลอดเลือดและหัวใจ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบหลอดเลือดและหัวใจ ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง ทำให้หัวใจทำงานดีขึ้น ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการบำรุงหัวใจ ให้รับประทานน้ำมันปลาวันละ 4 กรัม ของปริมาณ EPA และ DHA

4. ลดการอักเสบของร่างกาย

น้ำมันปลา มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบในร่างกายได้ เนื่องจากสาร EPA เป็นองค์ประกอบสำคัญของสาร “พลอสตาแกลนดิน” เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด ลดการอักเสบของข้อกระดูก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำส่งสารสื่อประสาท เช่น น้ำมันที่สกัดจากปลาซาร์ดีน แองโชวี่และปลาแมคเคอเรล

5. ช่วยเสริมการแก้ปัญหาภาวะซึมเศร้า

จากผลการวิจัยพบว่าผู้ที่บริโภคปลาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเป็นโรคซึมเศร้าต่ำ เพราะสมดุลของกรดไขมันในร่างกายมีผลต่อความรุนแรงของการเกิดโรคซึมเศร้า จากการวิจัยพบว่าคนที่มีระดับกรดไขมัน Omega-3 ต่ำ แต่ Omega-6 สูง มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่าปกติ

6. ลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน

นักวิจัยพบว่ากรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นได้

7. ลดอาการปวดไมเกรน

     กรดไขมันในน้ำมันปลาจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพรอสตาแกลนดิน และลดการหลั่งสารซีโลโทนิน ทำให้การเกาะตัวของหลอดเลือดลดลงในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมอง จึงอาจช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้

8. ช่วยบรรเทาอาการหอบหืด

     การทานน้ำมันปลาจะช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และสารสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด ดังนั้น การรับประทานน้ำมันปลาอย่างต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้

9. แก้ปัญหาโรคผิวหนังบางชนิดได้

     การทานปลาที่มีไขมันมากอาจจะช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนังได้ เช่น สะเก็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง โดยลดอาการคัน ทำให้ผื่นแดงน้อยลง


รับประทานน้ำมันปลาอย่างไรให้ปลอดภัย ?

โดยปกติแล้ว คนทั่วไปควรรับประทานน้ำมันปลาในปริมาณเพียง 1-2 หน่วยบริโภคต่อสัปดาห์ เนื่องจากอาจได้รับสารพิษปนเปื้อนอย่างสารปรอทจากปลาบางชนิด แต่หมดห่วงหากบริโภคน้ำมันปลาในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในกรณีต้องการรับประทานน้ำมันปลาในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรรับประทานในปริมาณที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ และไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาในปริมาณมากเกินไป เพราะทำให้มีเลือดออกและเลือดไม่แข็งตัว

การรับประทานน้ำปลาในขนาดที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านใด เช่นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่รับประทานเพื่อเสริมสุขภาพ หรือ ต้องการป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ให้รับประทานวันละ 1,000 มก. ของปริมาณ EPA และ DHA และสำหรับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่มีอาการปวดข้ออักเสบตามข้อกระดูก บำรุงสมอง ให้รับประทานวันละ 3,000 มก. ของปริมาณ EPA และ DHA


การเลือกซื้อน้ำมันปลา

  • ควรเลือกแหล่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น ผลิตจากปลาทะเลน้ำลึก มีการตรวจสอบถึงความเข้มข้นของกรดไขมันที่เราต้องการ รวมทั้งปราศจากสารปนเปื้อนที่อาจติดมากับปลาด้วย (ในปัจจุบันในบางน่านน้ำทะเลจะมีสารพิษตกค้างอยู่ในปริมาณสูง ในปลาบางชนิดที่จับได้ในแหล่งเหล่านี้ จึงอาจมีการปนเปื้อนของสารพิษต่าง ๆ ได้ เช่น Dioxin, Methyl mercury และ Polychlorinated biphenyl)
  • ผ่านมาตรฐาน GMP และมีการตรวจสอบเชื้อโรคและโลหะหนัก ทั้งสารตะกั่ว ปรอท แคดเมียม สารหนู
  • ปริมาณของ EPA และ DHA ทั้งคู่ต้องมีมากกว่า 20% เพราะบางยี่ห้อแจ้งว่าเป็นฟิชออยล์ 1,000 มิลลิกรัม แต่มี EPA และ DHA ปริมาณน้อยมาก ที่เหลือเป็นแค่แป้งและส่วนผสมอื่นที่นำมาตอกเป็นเม็ด
  • สัดส่วนของปริมาณ EPA : DHA ควรเป็น 3 : 2 เช่น EPA 180 mg. และ DHA 120 mg. เพราะเป็นสัดส่วนที่เชื่อว่าน่าจะออกฤทธิ์ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
  • รูปแบบเม็ดควรเป็นแบบเม็ดเจลนิ่ม ๆ (Soft Gel) ที่ปิดสนิท เพราะจะช่วยปกป้องไม่ให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวข้างในเกิดการสลายตัวระหว่างการรอบริโภค ถ้าเม็ดยาถูกบรรจุในแคปซูลแข็ง ๆ อาจจะมีรอยรั่วตรงขอบเม็ดได้ ซึ่งจะทำให้มีอากาศเข้าไปเกิดการออกซิไดซ์จนกรดไขมันไม่อิ่มตัวสลายตัวแล้วมีปริมาณกรดไขมันสำคัญลดลง
  • ควรมีวิตามินอีผสมด้วย เพราะกรดไขมันไม่อิ่มตัวจะสลายตัวได้ง่ายมาก จึงจำเป็นต้องมีวิตามินอีช่วยทำหน้าที่เป็น Antioxidant ช่วยคงสภาพและปริมาณของสารสำคัญให้สูงสุดในระหว่างรอการบริโภค
  • ขวดบรรจุภัณฑ์ควรเป็นขวดแบบทึบแสง ป้องกันแสง และอากาศได้ดี และถ้าเบาด้วยก็จะยิ่งดีเพื่อสะดวกต่อการพกพา (เพราะต้องกินหลังมื้ออาหารทุกมื้อ)
  • สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นขวดพลาสติก ควรเป็นขวดพลาสติกเกรดยา เนื่องจากจะมีมาตรฐานดีกว่าขวดพลาสติกเกรดอาหารเสริมทั่วไป (พลาสติกอาจไปทำปฏิกิริยากับผลิตภัณฑ์ที่บรรจุไว้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเก็บไว้เป็นเวลานาน)
  • สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นขวดแก้ว จะมีข้อดีตรงที่มีความเป็นกลางไม่ทำปฏิกิริยาใด ๆ กับผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอยู่ โดยควรเป็นขวดสีชาทึบแสงที่ยิ่งทึบแสงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


ข้อควรระวังในการทานน้ำมันปลา

แม้น้ำมันปลาจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ หรือทานน้ำมันปลาภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

  • หญิงที่ตั้งครรภ์ หรือวางแผนจะตั้งครรภ์
  • หญิงที่ให้นมบุตร
  • ผู้ใช้ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาต้านอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับตับและไต
  • ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารทะเล เช่น ปลาและหอย
  • ผู้ที่ต้องการให้เด็กทานอาหารเสริมโอเมก้า 3


บทสรุป

จะเห็นว่า น้ำมันปลา โอเมก้า 3 มีประโยชน์หลายประการต่อร่างกาย ซึ่ง "กรดไขมันโอเมก้า 3" นี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเสริมสร้างการทำงานในระบบร่างกายได้ดี  หากคุณไม่สามารถรับประทานอาหารได้ครบถ้วนการเลือกรับประทาน อาหารเสริม ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สามารถช่วยให้คุณได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน น้ำมันปลามีประโยชน์มากมายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตช่วยบำรุงร่างกายได้หลายอย่างรับประทานเพียงวันละเม็ดก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมีให้เลือกหลายยี่ห้อให้คุณเลือกตามความเหมาะสม เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีประโยชน์ที่เราแนะนำให้รับประทานได้ทุกเพศทุกวัย เพื่อบำรุงระบบประสาทและสมองของคุณแต่เราไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่, การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสร้างความสมดุลต่อร่างกายในทุกมิติสุขภาพ เพราะสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่เราสร้างได้ด้วยตัวเอง


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น